เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ พ.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมของเราเนาะ เราฟังธรรมของเราเพื่อสติปัญญาของเรา เพื่อความมั่นคงของชีวิตนะ เพื่อความมั่นคงของชีวิต เราเกิดมา เกิดมาพบในหลวง เวลาในหลวงท่านพูด จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีไปไม่ได้หรอก ทำให้ทุกคนเป็นคนดีไปไม่ได้ แต่ต้องให้คนดีปกครองคนไม่ดีไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาท่านเสียไป ด้วยคุณงามความดีของท่าน ทั้งประเทศนะ ทั้งประเทศยอมรับทั้งนั้นน่ะ ทั่วโลกด้วย แต่มันก็มีคนเห็นแย้งอยู่เป็นเรื่องธรรมดา ไอ้คนเห็นแย้งอยู่ จะให้ทุกคนคิดเหมือนกันมันเป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ มันเป็นไปไม่ได้ในโลกนี้เพราะอะไร เพราะกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน คนทำเวรทำกรรมกันมา คนมันสร้างเวรสร้างกรรมมาอย่างนั้นแล้วจะให้มาลบล้างไปว่าฉันสะอาดบริสุทธิ์ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ในเมื่อเรื่องกรรมมันสร้างกรรมมาอย่างนั้นมันก็มีความเห็นอย่างนั้น แต่กระแสสังคมมันแรง พอกระแสสังคมแรง เขาก็ทำเกลื่อนไปอย่างนั้นน่ะ

แต่ความจริงแล้วเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์สอนเราๆ ท่านบอกไม่ได้ว่าใครสักคนหนึ่งเลย ท่านเมตตาสัตว์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่เวลาหลวงตาท่านเทศนาว่าการ ท่านบอกว่าชี้ไปกิเลสของคนๆ ท่านชี้เรื่องกิเลสของคน กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจนั่นน่ะ เหรียญมันมีสองด้านทั้งนั้นน่ะ ทุกคนก็ปรารถนาดีๆ

คนเราเพราะมันมีอำนาจวาสนา มันเกิดเป็นคนๆ แต่เกิดเป็นคนแล้ว โดยอวิชชา โดยความไม่รู้ในหัวใจมันมีอยู่ทั้งนั้นน่ะ ความมีอยู่อันนั้น ความมีอยู่ในอันนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นั่นๆ เวลาสอนที่นั่นขึ้นมา ทุกคนปรารถนามาสร้างคุณงามความดี ปรารถนามาสร้างคุณงามความดี ความดีของใครล่ะ

ความดีของเขานะ ดูสิ ความดีของโลกเขา เวลาอัตคัดขาดแคลน เขาอ้างว่าสิ่งนั้นมันเป็นความจำเป็น เพราะความจำเป็น ทำอะไรก็ได้ๆ พอทำอะไรก็ได้ มันสร้างเวรสร้างกรรมไปทั้งนั้นน่ะ

แต่เวลาคนนะ ดูสิ ดูพระโพธิสัตว์ๆ สิ ท่านสละชีวิตๆ ของท่าน ท่านไม่อ้างถึงความยากดีมีจนเลย ท่านไม่อ้างความยากดีมีจนนะ ท่านอ้างศีลอ้างธรรม อ้างคุณงามความดี ผิดหรือถูกๆ ท่านทำความดีของท่านทั้งนั้น ท่านไม่ทำความผิดพลาดไป มันจะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหนมันก็ต้องยอมทน

ดูสิ ในปัญหาของเซน เขาเจาะภูเขา ๓๐ ปีกว่าจะทะลุน่ะ ด้วยสิ่ว ด้วยค้อนนั่นน่ะ เขาเจาะของเขาไป เจาะไปเพื่ออะไร เพื่อพอทะลุไปแล้ว เสร็จแล้วเขาจะมาเพื่อมาล้างเวรล้างกรรมต่อกัน เพราะเขามีปัญหามาต่อกัน ซามูไร สุดท้ายแล้วมานั่งเจาะ เคาะๆๆ ภูเขานั่นน่ะ ๓๐ ปี พอมันทะลุไปแล้ว เลิกกัน ด้วยความ ๓๐ ปี ด้วยทำอยู่ด้วยกัน มันคนดีทั้งนั้นน่ะ ที่เขาทำด้วยความแค้นฝังใจๆ ความแค้นก็ความแค้น แต่ความคลุกคลีกัน ความเคลียร์ปัญหากัน ๓๐ ปี เลิกกันได้ กว่าจะเลิกกันได้ นั่นพูดถึงปัญหาเซนๆ นะ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นปัญหาๆ ปัญหา ถ้าเป็นจริตมันก็เป็นจริต แต่ของเรา เอาของเรา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันเป็นการยืนยันนะ ทำดีต้องได้ดี แต่คุณงามความดีมันดีของใครๆ ถ้าดีของเรา ดีทางโลก คนขยันหมั่นเพียรดีทางโลกมา คนที่ดีทางโลก ถ้าบวชมาเป็นพระ คนเป็นพระที่ดี แล้วเป็นพระที่ดี เป็นผู้ที่ปฏิบัติที่ดี

ถ้าทางโลกเหลวไหลๆ เหลวไหลได้คิดหรือไม่ได้คิด ถ้าเหลวไหลได้คิดนะ บวชเป็นพระก็ยังดีอยู่ แต่ถ้าเหลวไหลไม่ได้คิดมาบวชเป็นพระ อยู่ทางโลก ทางโลกเป็นคนที่ไม่ดี บวชเป็นพระก็เป็นพระที่ไม่ดี พระที่ไม่ดีมันพระอย่างไรพระที่ไม่ดีล่ะ พระไม่ดีก็พระเห็นแก่ตัว พระเอาแต่ใจ เพราะเรามา เรามายับยั้งชั่งใจ

ดูธุดงควัตรๆ เครื่องขัดเกลากิเลสๆ การขัดเกลากิเลสมันจะได้สิ่งใดมันไม่สมความปรารถนา ความสมความปรารถนา ถ้าไม่ได้สมความปรารถนา ถ้าคนมันเห็นแก่ตัว ยิ่งไม่สมความปรารถนาก็ยิ่งมีความกดดันในหัวใจของตน

แต่ถ้าเป็นคนที่มีธรรมๆ ในสมัยพุทธกาลมันมีพระฉัพพัคคีย์ๆ เวลานิมนต์ไปไหน พระมัคคุเทศก์จัดไป เวลาเป็นคิวของเขา เขาไปได้แต่คนทุกข์คนจน คนทุกข์คนจนมันก็เป็นข้าวกับน้ำผักดองๆ ก็หาว่าพระมัคคุเทศก์เป็นคนกลั่นแกล้ง นี่คิดเอาเองๆ ไง เพราะเวลาสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจๆ เวลาครูบาอาจารย์ท่านไป โอ๋ย! บ้านมั่งมีศรีสุขๆ ก็หาว่ามัคคุเทศก์เขากลั่นแกล้ง

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่หล้า หลวงปู่หล้าท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น บิณฑบาตได้สิ่งใดมาแล้วถูกใจ โยนเข้าป่า

เราได้มาในบาตร มันเป็นเลี้ยงชีพโดยชอบ สัมมาอาชีวะชอบธรรมถูกต้องดีงามทั้งนั้นเลย แต่ท่านได้มามันตรงกับธาตุตรงกับขันธ์นะ ท่านจับมันโยนเข้าป่าๆ ทั้งๆ ที่มันอัตคัดขาดแคลนนะ เวลาอัตคัดขาดแคลน ท่านทำตัวของท่าน ทำตัวของท่านอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะไม่ให้กิเลสมันฟูขึ้นมาไง ถ้ามันชอบใจแล้วมันก็จะชอบใจของมันไป พอชอบใจของมัน ฉันแล้วก็พอใจ พอภาวนาก็ไม่ได้ดั่งใจ

ถ้าคนมีสติปัญญาเขาตั้งต้นตั้งแต่นั่น เขาตั้งต้นตั้งแต่ขัดใจกิเลสๆ ขัดใจกิเลสขัดใจเรานี่แหละ แต่ไอ้ฉัพพัคคีย์ๆ อยากได้อยากดี อยากให้สมความปรารถนา แล้วเวลาคนอื่นเขาจัดให้ๆ ก็ไปโทษเขาๆ

ถ้าคนมีสติปัญญามันคิดได้อย่างนี้ ถ้ามีสติปัญญา ถ้าเป็นพระ เป็นพระที่ดี เป็นพระที่ดีเพราะอะไร เพราะพระที่ดีจะมาควบคุมกิเลสของตน มาควบคุมกิเลสของตน มาค้นคว้าหากิเลสของตน ได้สิ่งใดมาด้วยความถูกต้องชอบธรรม เขวี้ยงเข้าป่า แล้วไปได้อะไร ได้สิ่งที่มันไม่ชอบ เอ็งกินอย่างนี้ เออ! เอ็งฉันอย่างนี้ ฉันอย่างนี้ พอฉันอย่างนี้มันก็ฉันได้เล็กๆ น้อยๆ การฉันเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นไป มันขัดใจกิเลสทั้งนั้นน่ะ

พอมันขัดใจกิเลส พอเข้าทางจงกรมมันก็เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราก็เป็น เราก็เคยทำ พอเคยทำมันพูดได้ไง พอพูดได้เพราะอะไร เพราะเวลาฉันมันก็มีสติปัญญา มันก็เท่าทันมันนะ เวลาฉันเสร็จแล้วไปเดินจงกรม เดินไปก็คิดไปน่ะ เสียดายอันนั้น เสียดายอันนี้ มันจะไปเสียดายย้อนหลังอีกนะ กิเลสมันจะตามไปในทางจงกรม มันจะตามเข้าไปในการนั่งสมาธิภาวนาอยู่นั่นน่ะ

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราอริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้า เราเป็นปุถุชน เราคนเป็นคนหนา เราทำสิ่งใดไม่ได้ อริยประเพณี ธุดงควัตรต่างๆ เป็นอริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้า ทั้งๆ ที่เราปุถุชน เราไม่ได้สิ่งใด แต่ประเพณีพระอริยเจ้าท่านทำสิ่งนั้น มันเป็นประโยชน์ๆ แล้วเราทำแล้วทำไมมันเป็นทุกข์ล่ะ เวลาทำไปแล้วมันยังทำไมมาตอกย้ำ มาย้ำคิดอยู่นี่ล่ะ ของมันผ่านไปแล้วตั้งแต่ตอนเช้า ไอ้นี่จะบ่ายจะค่ำอยู่แล้วมันยังวางไม่ได้ มันยังคิดไม่ได้ ไอ้ของกินก็ไม่ได้กิน โยนทิ้งไปแล้ว แต่มันยังเสียดายๆ อยู่นั่นน่ะ ไปเสียดายก็เอามาไม่ได้อยู่แล้ว เอามาไม่ได้เพราะมันไม่ใช่กาลไม่ใช่เวลาแล้ว ไอ้นี่มันช่วงบ่ายช่วงเย็นแล้ว มันฉันอะไรไม่ได้อีกแล้วแหละ แต่กิเลสมันก็ยังไปเอามาอุ่นกิน มันก็ยังมาเผาลนกิเลส

นี่ไง เวลาเราทำแล้วเราทำด้วยอริยประเพณี ถ้าอริยประเพณีก็เอาประเพณีของพระอริยเจ้าบังคับขู่เข็ญเรา บังคับขู่เข็ญกิเลสตัณหาความทะยานอยาก บังคับให้อยู่ในร่องในรอย แต่เวลาทำได้ มีสติปัญญา มันยังมีสติอยู่ ยับยั้งอยู่ ทำได้ ทำได้ก็ยังมีความภูมิใจ แต่พอผ่านไปแล้วก็ยังไปทบทวนๆ ไปคิดอยู่

ถ้าเป็นพระที่ดีๆ พระที่ดีเราต้องมีสติปัญญา ทั้งๆ ที่เราอยู่ในศีลในธรรม ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้ พระเราต้องมีศีลมีธรรมเป็นสมบัติๆ ถ้ามีศีลมีธรรมเป็นสมบัติของเรา ศีลธรรมอยู่ที่ไหนล่ะ

นี่ไง เวลาใจมันได้ศีลได้ธรรม ได้ธรรมคือสติธรรม ปัญญาธรรม พอมีปัญญาธรรม มันได้ดื่มกินปัญญาอันนั้น มันได้สำรอกมันได้คายออกไป สิ่งที่เป็นวิตกกังวลมันได้วางไว้ มันภูมิใจๆ มันกินธรรมๆ ไง หัวใจมันเป็นธรรมๆ น่ะ มันจะมีศีลมีธรรมเป็นสมบัติ มีสติมีปัญญาเป็นสมบัติของใจ ถ้าเป็นสมบัติของใจ มันยับยั้งใจได้ มันแยกแยะได้ อะไรควรไม่ควร มันวางของมันได้ มันวางของมันจากข้างนอก เห็นไหม แล้วสิ่งนี้มันก็เกิดดับ คำว่า “เกิดดับ” เดี๋ยวก็มาอีก

ไอ้สิ่งที่ผลกระทบ อายตนะกระทบรูป รส กลิ่น เสียงภายนอก มันก็คิดของมัน เวลามีสติปัญญาแล้ว ทีนี้ไม่ต้องอาศัยรูป รส กลิ่น เสียงแล้ว มันคิดเองเลย จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส ทั้งๆ ที่มันผ่องใส มันก็เศร้าหมอง มันผ่องใสขนาดไหน มันทำสมาธิได้อย่างไรมันก็เสื่อมทั้งนั้นน่ะ

คำว่า “เสื่อม” มันก็ต้องพยายามของเราไง ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เรารักษาของเรา ถ้าจิตใจมันดี มีสติปัญญา มันยับยั้งชั่งใจได้ มันมีความสุขของมัน มันยังพออยู่พออาศัย แต่เวลากิเลสมันโหมใส่มามันมีแต่ความทุกข์ความร้อนทั้งนั้นน่ะ ถ้ามีความทุกข์ความร้อนขึ้นมาแล้วจะเอาอะไรไปสู้กับมันล่ะ นี่ไง ธรรมโอสถๆ ไง ศีล สมาธิ ปัญญา ธรรมโอสถที่จะดับกิเลส ดับความเร่าร้อนในใจของตน ถ้าดับความเร่าร้อนในใจของตน เราทำของเราอย่างนี้

ในหลวงท่านสอนไว้ ทำให้ทุกคนเป็นคนดีไม่ได้หมดหรอก แต่เวลาปกครองก็ต้องเอาคนดีปกครองคนชั่ว

จิตใจของเราๆ ต้องมีศีลมีธรรมมาปกครองมันไง ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราจะมีศีลมีธรรมของเรา เรามีสมบัติของเราไง เรามีธรรมโอสถดับไฟในใจของตน ดับไฟในใจของตน ให้คนดีมันปกครอง ให้ศีลให้ธรรมมันปกครอง อย่าให้กิเลสมันปกครอง ถ้ากิเลสมันปกครอง มันมีแต่ความเร่าร้อน มันมีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจทั้งนั้นน่ะ เวลาคนอื่นเขาบวชมาเขาได้ดิบได้ดีไปทั้งนั้น ไอ้เราบวชมาแล้วมาทุกข์มายากของเราน่ะ

มันทุกข์มันยากที่ไหน มันบิณฑบาตมาเหมือนกัน อาหารนี้ได้มาเหมือนกันหมดเลย เหมือนกันหมดเพราะอะไร เพราะเขาใส่มาด้วยกันไง ขันก็ขันใบนั้น ไอ้พระก็ไปด้วยกัน ๒ องค์ ๓ องค์ ก็ไปด้วยกันนั่นน่ะ มันก็ไอ้ข้าวขันนั้น มันก็ไอ้กับข้าวขันนั้น แล้วทำไมมันมาทุกข์มาร้อนล่ะ ทำไมมันมาคิดน้อยเนื้อต่ำใจล่ะ “เราไม่ได้เหมือนเขา เขาได้ดิบได้ดี เราไม่ได้ดิบได้ดี”

เขาได้ดิบได้ดีเพราะเขามีศีลมีธรรม เขาได้ดิบได้ดีเพราะเขามีสติปัญญาของเขา เขามีสติปัญญาของเขา ของนี้ได้มาเหมือนกัน แต่เขาชื่นชมของเขา เขาเห็น เห็นไหม ทุคตะเข็ญใจเป็นคนทุกข์คนจน ใส่บาตร ไม่มีปัญญาจะใส่บาตร ใส่บาตรก็ได้แต่ข้าวเปล่าๆ เสร็จแล้วอยากบวชมาก อยากศึกษามาก ไปขอบวชกับใคร ใครก็ไม่ให้บวช เพราะมันไม่มีบริขาร ๘

สุดท้ายแล้วเขาร่ำลือถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประชุมสงฆ์เลย “ทุคตะเข็ญใจนี้มีคุณกับใครบ้าง”

พระสารีบุตรยกมือเลย

“มีบุญคุณอะไร”

“เคยใส่บาตรข้าพเจ้าทัพพีหนึ่งพระเจ้าค่ะ”

นี่ไง “อย่างนั้นสารีบุตร เธอเอาบวชๆ”

เวลาบวชขึ้นไปแล้วสั่งสอนๆ จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์นะ

ถ้าคนมีศีลมีธรรมในหัวใจมันเป็นประโยชน์ มันไม่ทุกข์ไม่ร้อน มันไม่มีความเสียใจ ไอ้ทุกข์ไอ้ร้อน ไอ้ความเสียใจ ใครร้อน ใครมันเร่าร้อนกับเรา คนใส่บาตรเขาเอาบุญของเขา เขาปรารถนาบุญกุศลของเขา เขาได้ใส่บาตรไปแล้วเขาก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเขา เขาก็มีความสุขของเขาไปแล้ว ทุกคนเขาทำสิ่งใดแล้วเขาก็มีความรื่นเริงไปแล้ว ไอ้มีเราอยู่คนเดียวนี่ บิณฑบาตเขามาแล้วก็ยังมาวิตกวิจารณ์อยู่นี่ มาคิดอยู่นี่ ไอ้คนอื่นเขามีความสุขไปหมดแล้ว ไอ้เราได้ของเขามา ไอ้เรามาพิจารณาอาหารแล้วเราก็ฉันของเรา มันก็ควรจะมีความสุขกับเรา มันก็ควรจะเร่งภาวนาของเรา มาให้กิเลสมันเผาอยู่นี่ พอกิเลสมันเผาอยู่นี่มันเป็นอย่างไรล่ะ นี่คนไม่ดีปกครอง มารมันปกครอง มารมันย่ำยีหัวใจ

ในโลกนี้ทำให้คนดีไปหมด เป็นไปไม่ได้ ในหัวใจของสัตว์โลกก็เหมือนกัน มันมีดีมีชั่วอยู่ปนกันในหัวใจนั่นน่ะ มันมีดี ดีก็สัจธรรม ดีก็อำนาจวาสนาบารมี บารมีของคนไง ถ้าใครมีอำนาจวาสนาบารมี มันจะมีสติยับยั้งได้ มันยั้งคิดได้ แต่ถ้าคนอำนาจวาสนาบารมีอ่อนแอ เขามีความสุขกันไปหมดแล้ว เขาทำงานเสร็จแล้ว เขาเก็บล้างกันไป เขาไปมีความรื่นเริง ไอ้เรายังอมทุกข์อยู่นี่ อมทุกข์อยู่นี่เพราะอะไรล่ะ อมทุกข์อยู่นี่เพราะเราไม่มีศีลมีธรรมในหัวใจไง เราไปคิดเองไง ทั้งๆ ที่ของก็เหมือนกัน สังคมสังคมเดียวกัน มาจากไหนก็แล้วแต่ เวลามาบวชในพระพุทธศาสนาแล้วเป็นนกพิราบขาวเหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกัน มาจะทุกข์จนเข็ญใจ กุฎุมพี ยากดีมีจน บวชเป็นพระแล้วก็เป็นพระ ถ้าเป็นพระแล้ว ถ้ามันมีศีลมีธรรมก็เสมอกัน เราเสมอกันด้วยศีล ศีล ๒๒๗ เหมือนกัน มีอุปัชฌาย์อาจารย์เหมือนกัน แต่อุปัชฌาย์อาจารย์ดีหรือไม่ดีนั่นก็วาสนาของคน อยู่ที่คนคัดเลือก อยู่ที่กาลเทศะ ถ้ากาลเทศะที่ดี เราก็ได้สิ่งที่ดีมา ถ้ากาลเทศะของเราไปเจอเอง ถ้าเราไม่มีสติปัญญาเราก็แยกแยะไม่ได้ เพราะมันอยู่คนละสังคมไง นี่ผลของวัฏฏะ

ผลของวัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่เราไปเจอในสังคมอย่างนั้น เราไปเจอสังคมอย่างนั้น เราไปเจออุปสรรคอย่างนั้น มันเป็นผลของวัฏฏะ มันบังเอิญพอดี ธรรมจัดสรร กรรมจัดสรร จัดสรรมา ถ้ามีสติปัญญา เขาคัดแยกได้ เขาต้องแก้ไขของเขาได้ ต้องเอาตัวรอดให้ได้ไง ถ้าเอาตัวรอดได้ มันทำของมันได้ ถ้ามีอำนาจวาสนานะ เราก็ทำของเรา

วาสนาของคนมันสร้างมาๆ ไม่เหมือนกัน ถ้าสร้างมาไม่เหมือนกัน ผลของวัฏฏะ เราเกิดมาร่วมกัน เราเกิดมาพบกัน ฟังธรรมๆ ฟังธรรมให้เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันก็คิดอย่างนี้ พิจารณาอย่างนี้ เหมือนกัน เหมือนกัน แล้วมันจะเหมือนกันแล้วมันจะมีคุณภาพที่ใจ ถ้าใจมีสติมีปัญญามันยั้งคิดได้ มันมีปัญญา มันพาชีวิตเราให้ไปหลีกเร้นความทุกข์ความยาก หลีกเร้นสิ่งที่กระทบกระเทือนในหัวใจ หลีกมันไป หลบมันไป เราไม่สามารถไปกำจัดมันได้ ผลของวัฏฏะๆ นรกสวรรค์มันมีของมันอยู่อย่างนี้ ผลของมัน มันมีของมันอยู่อย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมอย่างนี้ ของมันมีอยู่ไง เพียงแต่จิตของเราไปเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเพราะการกระทำของเรา เพราะผลการกระทำมันให้ผลอันนั้นน่ะ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไง แล้วเรามีสติปัญญา เราก็หลีกของเรา หลีกเร้นของเราเพื่อประโยชน์กับเรา

สิ่งที่กระแสสังคมมันสูงขึ้น ให้เห็นว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำดีต้องได้ดี แต่ความดีๆ ความดีกับคนดีเขาคุยกัน ความดีกับความดีเข้ากันด้วยสมาน ด้วยความราบรื่น ไอ้ความดีเข้ากับความชั่ว ไอ้ความชั่ว เวลาความดีมันเข้มแข็งขึ้นมา ไอ้ชั่วมันก็หลีกเร้น มันก็เข้ามากลืน เข้ามากัดเซาะ

เรามีสติมีปัญญาของเรา พูดไม่ใช่ให้แบ่งแยก มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น แต่เรานี่ เราจะรักษาใจเราอย่างไร เราจะให้ความมั่นคงของสังคม ความสามัคคีให้มันยืดยาวไป ให้สังคมเราร่มเย็นเป็นสุขอย่างไร มันมีกิเลสเท่านั้นน่ะมายุมาแหย่ มาทำลาย ไอ้การเห็นแก่ตัวนั่นน่ะ ถ้าเราไม่เห็นแก่ตัว ดูสิ เหมือนกัน เกิดในประเทศเหมือนกัน เกิดในชาติเหมือนกัน มีพ่อมีแม่เหมือนกัน แต่มานั่งคอตกทุกข์ยากอยู่คนเดียว

เขาเกิดมาเขาจะทุกข์ยากขนาดไหน เขามีสติปัญญาของเขา เขาเข้มแข็งของเขา เขาพยายามพาชีวิตของเขาประสบความสำเร็จของเขาไปมากมาย มันมีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มีการกระทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ

ฟังธรรมๆ เพื่อเตือนหัวใจดวงนี้ ไม่ต้องไปเตือนใครหรอก เตือนหัวใจดวงนี้ให้มีอำนาจวาสนา ให้พาชีวิตของเราให้ประสบความสำเร็จของเรา ประสบความสำเร็จในความพอใจของเรา ไม่ต้องประสบความสำเร็จเทียบกับใครทั้งสิ้น มีความสุข มีความสงบระงับในใจของเรา เห็นไหม เกิดมาไม่เสียชาติเกิด เอวัง